Date: February 25, 2016
Author: Grip Thailand
ผู้ผลิตรถยนต์จะเป็นผู้เลือกว่า ควรใช้แบตเตอรีที่มีความจุเท่าไหร่กับรถแต่ละรุ่น แม้แต่รถรุ่นเดียวกัน ก็ยังใช้แบตเตอรีความจุต่างกัน ขึ้นอยู่กับดินฟ้าอากาศของประเทศที่รถนั้นถูกส่งไปขายและ “ออพชั่น” ที่รถรุ่นนั้นๆ มีครับ
หลักสำคัญในการเลือกความจุของแบทเตอรี คือ ความสามารถในการสตาร์ทหรือติดเครื่องยนต์ แบตเตอรีต้องสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าให้พอที่สตาร์ทเครื่องยนต์ โดยต้องหมุนเครื่องยนต์ในสภาพที่ “แย่” ที่สุดได้เร็วเพียงพอครับ
ที่ว่าความจุไฟฟ้าของแบตเตอรีไม่พอ ไม่ได้หมายความว่า ประจุไฟฟ้าหมดหรือเกือบหมด ก่อนเครื่องยนต์ติดนะครับ แต่หมายถึงการที่แบตเตอรี ไม่สามารถปล่อยกระแสไฟฟ้าให้มอเตอร์ได้มากพอ ที่จะหมุนเครื่องยนต์ให้เร็วพอที่จะติดได้ ถึงจะเป็นเครื่องยนต์ทันสมัย สภาพดีเยี่ยม ก็ไม่ได้หมายความว่า ขยับหมุนนิดเดียวช้าๆ แล้วมันจะติดได้ ต้องมีความเร็วเพียงพอ ให้ระบบจุดระเบิด และระบบจ่ายเชื้อเพลิงทำงานได้ด้วย
ตัวอย่างสถานการณ์แย่สุดในการติดเครื่องยนต์ที่สภาพสมบูรณ์ อย่างแรก แบตเตอรีมีประจุไฟฟ้าอยู่ไม่เต็ม มีแค่ 70 % อย่างที่สอง อุณหภูมิต่ำมาก ความจุของแบตเตอรีรวมทั้งความสามารถในการจ่ายกระแสไฟฟ้าจะลดลงตามอุณหภูมิครับ พูดง่ายๆ คือ ยิ่งเย็นยิ่งมีไฟน้อย และจ่ายไฟได้น้อยด้วย อย่างที่สาม เมื่ออากาศเย็น น้ำมันเครื่องก็ยิ่งข้นหรือหนืด ต้องใช้แรงในการหมุนเครื่องยนต์เพิ่มขึ้น นั่นหมายถึง ความต้องการกระแสไฟฟ้าของมอเตอร์สตาร์ทที่เพิ่มขึ้นด้วย สวนทางกับความสามารถจ่ายกระแสไฟฟ้าของแบตเตอรี
วิศวกรของผู้ผลิตรถยนต์ต้องเลือกความจุของแบทเตอรี ให้มากพอที่จะติดเครื่องยนต์ในสภาพที่ ”แย่” นี้ได้ เลยต้องทดสอบกันอย่างละเอียดจริงจัง ไม่ใช่เลือกความจุให้มากเข้าไว้แล้วจบ เพราะยิ่งความจุมาก น้ำหนักก็มากตาม ขนาดก็ใหญ่ขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองเนื้อที่ และราคาซึ่งก็คือต้นทุน ก็จะสูงตามไปด้วยครับ